
1.ราคาที่แพงสุด ณ ตอนนี้ : เราไม่ได้หมายถึงราคาของใหม่ป้ายแดงจากโรงงาน แต่คือ อะไรก็ได้ที่เป็น Ferrari แล้วถูกขายไป โดย ณ ตอนนี้ตัวเลขของการซื้อขายคันที่แพงที่สุดในโลกของ Ferrari คือ รุ่น 250GTO รุ่นปี 1962 โดยจบการประมูลที่ราคา 38.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 1,333.5 ล้านบาท และว่ากันว่า สถิตินี้ อาจจะอยู่ไม่นาน เพราะว่าในเดือนธันวาคมนี้ จะมีการนำ Ferrari อีกคันเป็นรุ่น 290MM ปี 1959 ของ Juan Miguel Fangio แชมป์โลก F1 ผู้ล่วงลับชาวอาร์เจนติน่า ซึ่งมีสิทธิ์ที่จะทุบตัวเลขนี้ลงได้…ต้องรอดูกันต่อไป

2.มีม้าจากโรงงานสูงสุด : หลายคนอาจจะชอบโมดิฟาย แต่นั่นไม่ถือว่าเป็น Pure Ferrari และรุ่นที่ได้ชื่อว่ามีแรงม้าจากโรงงานสูงสุดในตอนนี้คือ LaFerrari ที่กำลังขายอยู่ใช้ขุมพลังแบบ HyKERS ซึ่งทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์วี12 ที่มีความจุ 6,300 ซีซี กับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้สามารถผลิตกำลังออกมาได้ 950 แรงม้า

3.ฝีเท้าจัดที่สุด : ดูจากหัวข้อแล้ว มันควรจะเป็น Ferrari ที่มีแรงม้ามากที่สุดใช่ไหม ? คำตอบคือ ไม่แน่เสมอไป และรุ่นที่ว่ากันว่าแล่นเร็วที่สุดเท่าที่ Ferarri เคยผลิตออกมาขายคือ F40 ในปี 1987 โดยถือเป็นรถสปอร์ตจากโรงงานรุ่นแรกที่ทำลายกำแพงความเร็ว 200 ไมล์/ชั่วโมง หรือ 321 กิโลเมตร/ชั่วโมงลงได้ และได้รับการยอมรับว่าเป็น Ferrari ที่มีฝีเท้าจัดจ้านที่สุดและสวยงามที่สุดอีกรุ่น

4.สนามศักดิ์สิทธิ์ : รถสปอร์ตทุกรุ่นจะต้องผ่านพิธีกรรมของการขับทดสอบในสนามทดสอบ Fiorano ของ Ferrari เพื่อพิสูจน์ฝีเท้าว่าจัดขนาดไหน โดยสนามที่มีความยาวต่อรอบ 2.997 กิโลเมตรตั้งอยู่ใกล้กับ เมือง Maranello ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของ Ferrari และสถิติที่ดีสุดในตอนนี้คือ LaFerrari ที่ขับทดสอบในปี 2015 ทำเวลาได้ 1 นาที19.07 วินาที ส่วนสถิติดีที่สุดในสนามคือ การขับของ Michael Schumacher กับรถแข่งรุ่น F2004 เมื่อปี 2004 ทำเวลาได้ 55.999 วินาที

5.รุ่นสุดท้ายของเกียร์ธรรมดา : แน่นอนว่าการหันมาพัฒนาเกียร์แบบ F1 และความนิยมของรถสปอร์ตที่ขับง่ายขึ้น ทำให้เกียร์ธรรมดาลดความนิยมลง และ California วี8 รุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 2008 ถือเป็นรถสปอร์ตรุ่นสุดท้ายในไลน์ผลิตของ Ferrari ที่มีรุ่นเกียร์ธรรมดาให้เลือกใช้งานด้วย เพราะรถสปอร์ตรุ่นหลังจากนั้น Ferrari ไม่ได้มีเกียร์ธรรมดาให้เลือกสัมผัสอีกต่อไป เพราะคนนิยมน้อยลง

6.แม้เป็น Ferrari เหมือนกัน แต่ก็ต่างกัน : ถ้าพูดถึงรถสปอร์ตจากโรงงานที่วางขายในตลาด บริษัทที่ดูแลธุรกิจนี้คือ Ferrari S.p.A. แต่ถ้าเป็นโลกของมอเตอร์สปอร์ตแล้ว พวกเขาจะใช้ชื่อว่า Scuderia Ferrari ซึ่งคำว่า Scuderia เป็นภาษาอิตาลี ที่แปลว่าคอกม้า โดยก่อตั้งขึ้นในปี 1929 โดย Enzo Ferrari และใช้ Logo ที่แตกต่างกันออกไปด้วย

7. เพื่อลูกทำได้ทุกอย่าง : Ferrari ภูมิใจกับเครื่องยนต์วี12 ของตัวเองมาก และรถสปอร์ตทุกคันจะต้องใช้เครื่องยนต์วี12 เป็นขุมพลัง จนกระทั่งในปี 1968 พวกเขาก็ฉีกกฎด้วยการเปิดตัวรุ่น Dino (ตั้งชื่อตามลูกชายของ Enzo Ferrari) และใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ และนับจากนั้นเป็นต้นมา Ferrari ก็เพิ่มทางเลือกด้วยเครื่องยนต์บล็อกที่เล็กกว่าวี12 ให้กับตลาด

8.ตัวอักษรที่ต่อท้ายมีความหมายอย่างไร : หลายคนอาจจะงงเมื่อเจอกับรุ่น 512M หรือ 250GTO ซึ่งอักษรเหล่านี้มันคืออะไรกันแน่ วันนี้เรามีคำตอบ
-M คือ Modificata ซึ่งหมายถึงการเข้ามาแทนที่รุ่นเดิมด้วยการปรับปรุงหรือปรับแต่งเล็กน้อย หรือเรียกง่ายๆ คือเป็นการปรับโฉม เช่น 512 กับ 512M หรือ 550 Maranello กับ 575M
-GTB : Gran Turismo Berlinetta : รถสปอร์ตคูเป้หลังคาแข็ง ซึ่งบางครั้งเรียกเฉยๆว่า Berlinetta
-GTS : Gran Turismo Spyder : รถสปอร์ตเปิดประทุน ซึ่งในปัจจุบันเรียกเฉยๆ ว่า Spyder
-GTO : Gran Turismo Omologata : เมื่อมีการต่อท้ายชื่อรุ่น อนุมานได้เลยว่าเป็นรุ่นพิเศษ เพราะเป็นการดัดแปลงตัวรถด้วยการใช้เทคโนโลยีจากสนามแข่งสำหรับการใช้งานบนท้องถนนได้อย่างไม่ผิดกฎหมาย เรียกว่าเป็นการนำรถแข่งมาดัดแปลงเพื่อให้ใช้งานได้บนถนน

9. ยอดขายต่อปีสูงที่สุด : 2012 คือ ปีที่ Ferrari มียอดผลิตและยอดขายรถยนต์ต่อปีมากที่สุด คือ 7,318 คัน และแม้ว่า จะมีการผลิตรถยนต์ออกขายในตลาดมานานตั้งแต่ปี 1947 แต่ Ferrai เพิ่งฉลองยอดผลิตรถยนต์ครบ 130,000 คันไปเมื่อปี 2008 หรือกว่า 60 ปีให้หลัง

10.หายากที่สุด : คำตอบคงไม่ใช่ Ferrari หาย แต่เป็นรุ่น 250GTO ที่ถูกดัดแปลงใหม่ในชื่อ 250 SWB Speciale โดยทาง Giorgetto Giugiaro แห่งสำนัก Bertone ซึ่งว่ากันว่า 250GTO ที่มีเพียง 32 คันในโลกหายากแล้ว คันนี้หายากยิ่งกว่า โดยการประมูลครั้งล่าสุดมีคนนำออกขายและจบลงที่ราคา 16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 560 ล้านบาท