บุกตลาดรถยนต์ซับคอมแพคท์อย่างต่อเนื่องสำหรับบริษัท ฮอนด้า ออโต้โมบิล (ประเทศไทย) หลังจากที่ได้มีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีใหม่ ใน Honda City รุ่นปรับโฉมใหม่ที่ยังคงตัวถังรูปแบบเดิม แต่ได้มีการปรับปรุงคุณภาพตัวรถและการตกแต่งภาพลักษณ์เพื่อตอบสนองการใช้งานให้ดีมากยิ่งขึ้น ภายใต้แนวคิด Advanced Energetic Smart Star ประหยัดเชื้อเพลิง ให้ความสะดวกขณะขับและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง
ซึ่งในครั้งนี้ทีมงาน BUDDY CAR ได้รับเกียรติจากฮอนด้า ออโต้โมบิล (ประเทศไทย) เชิญเข้าร่วมทดสอบ Honda City รุ่น SV+ ซึ่งเป็นตัวปรับโฉมในเจนเนอเรชั่น 6 บนเส้นทางกรุงเทพฯ – อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ระยะทางรวมกว่า 350 กิโลเมตร เพื่อสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงและการตอบสนองการใช้งานในชีวิตประจำวัน
อะไรใหม่บ้างใน Honda City 2017
Honda City ใหม่มากับชุดไฟหน้า LED ในรุ่น SV และ SV+ ในขณะที่ไฟ LED day time จะถูกนับเป็นครั้งแรกในกลุ่มซับคอมแพคท์ที่มีการติดตั้งมาให้ทุกรุ่นย่อย ส่วนไฟตัดหมอกแบบ LED มรในรุ่น SV และ SV+ ใช้การสะท้อนแสงด้วย Reflector ภายในโคม ช่วยลดการใช้พลังงาน กันชนหน้า-หลังออกแบบใหม่ กระจังหน้าตกแต่งเพิ่มเติมด้วยกรอบโครเมียม ซึ่งถ้าใครอยากได้ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 16 นิ้วต้องเลือกรุ่น SV และ SV+
ในการทดสอบครั้งนี้ ทีมงาน BUDDY CAR ได้จากที่ได้สำรวจภายนอกมีการปรับเปลี่ยนไปพอสมควร มีความโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ไฟหน้า LED มีเส้นสายความดุและแฝงไปด้วยความหรูที่กระจังด้านหน้า สร้างมิติให้ดูมีความหนาและใหญ่มากขึ้น ล้อแมกอัลลอยลายใหม่ขนาด 16 นิ้ว ที่ถอดแบบใกล้เคียงกับพี่ใหญ่อย่าง All New Honda Accord 2016 ทำให้มีความบึกบึนและหรูมากยิ่งขึ้น
นอกจากภายนอกที่ได้รับการปรับปรุงใหม่แล้ว ภายในยังได้รับการออกแบบขึ้นมาใหม่โดยใช้แนวคิด Rich & Sophisticated คอนโซลหน้าตกแต่งด้วยวัสดุที่มีพื้นผิวต่างกัน แผงมาตรวัดพื้นผิวสีดำ และแผงคอนโซลกลางทรง T สีเมทัลลิคเข้ม พื้นที่ส่วนบนของแผงมาตรวัดถูกออกแบบให้ดูแบนเรียบ ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับ ช่องแอร์ กรอบคันเกียร์ และมาตรวัด ตกแต่งด้วยแหวนสีเงิน มาตรวัดเรืองแสงแบบ 3 วงออกแบบใหม่ให้ดูมีมิติขึ้น มีไฟเรืองแสดงสีขาวขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ เบาะสไตล์สปอร์ตเดินด้าย 2 แถว ในรุ่น SV+ ที่เราได้สัมผัสมีไฟอ่านแผนที่ด้านหน้า LED และไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED ซึ่งจะแตกต่างจากรุ่นอื่นๆ
ทางด้านอุปกรณ์อำนวยความสะดวกดูเหมือนจะขนมาแบบชุดใหญ่ อาทิ ชุดระบบอินโฟฯ รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนทั้งฝั่ง Android และ iOS รองรับการเชื่อมต่อภาพและเสียงผ่านพอร์ท HDMI, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมแผงควบคุมแบบสัมผัส, มาตรวัดเรืองแสงสีขาวพร้อมจอแสดงข้อมูลการขับ MID, เพิ่มระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7 จังหวะ, มีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ชุดสวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์บนพวงมาลัยและระบบสตาร์ทเครื่องยนต์อัจฉริยะ ซึ่งนับว่าเป็นการตอบโจทย์ชีวิตไลฟ์สไตล์ของคนเมืองสมัยใหม่ได้อย่างครบถ้วน
ทดลองขับสัมผัสความเปลี่ยนแปลง
อย่างที่ได้เขียนบอกในข้างต้นว่า Honda City รุ่นปรับโฉมใหม่ที่ยังคงตัวถังรูปแบบเดิม แต่ได้มีการปรับปรุงคุณภาพตัวรถและการตกแต่งภาพลักษณ์เพื่อตอบสนองการใช้งานให้ดีมากยิ่งขึ้น ดังนั้นทันทีที่ได้นั่งด้านคนขับเราได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งการออกแบบที่เน้นโทนสีดำเพื่อเพิ่มความดุ ซึ่งถ้ามองถึงประโยชน์การใช้งานและดูแลรักษานับว่าสะดวกมากเลยทีเดียว ส่วนทางด้านฟังชั่นการใช้งานตอบโจทย์ความต้องการได้เป็นอย่างดี พวงมาลัยมัลติฟังชั่นที่อัดแน่นด้วยปุ่มอำนวยความสะดวกวางในจุดที่ใช้งานง่าย เพียงแค่ขยับปลายนิ้วก็สามารถเข้าถึงการทำงานได้อย่างง่ายดาย โดยแยกระบบเครื่องเสียงอยู่ทางขวามือ และระบบควบคุมความเร็วอยู่ทางซ้ายมือ ถัดมาด้านล่างพวงมาลัยฝั่งขวาเป็นระบบรับ-วางสายโทรศัพท์ ใช้งานง่ายที่สำคัญยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในขณะขับได้เป็นอย่างดี
นอกจากความทันสมัยและความสะดวกสบายในห้องโดยสารด้านหน้าแล้ว ห้องโดยสารด้านหลังยังกว้างขวางนั่งสบายเช่นเดียวกัน มีพื้นที่วางขาที่เหลือเฟือแบบชนิดที่ว่าคนที่มีความสูงเกิน 180 เซนติเมตร สามารถนั่งได้อย่างไม่คับแคบ สำหรับใครที่ติดอุปกรณ์เทคโนโลยีในรุ่น SV และ SV+ ยังติดตั้งช่องจ่ายไฟสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 2 ต่ำแหน่งอีกด้วย (แต่ต้องพกตัวต่อ USB มาเองนะ) ทำให้ชีวิตบนโลกโซเชียลไม่สะดุดแน่นอน
ในด้านสมรรถนะการขับ Honda City ใหม่ มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน SOHC i-VTEC ความจุ 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 117 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 14.8 กก.-ม. ทำงานควบคู่กับระบบส่งกำลังอัตโนมัติแบบ CVT ให้อัตราเร่งที่เร้าในพอสมควร เรียกรอบความเร็วได้อย่างทันใจ และถ้าใช้งานคู่กับระบบเกียร์ Paddle Shift ตรงพวงมาลัยสามารถเพิ่มหรือลดเกียร์ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น สำหรับสิ่งที่ชอบมากที่สุดในระบบเกียร์นี้คือการเชนเกียร์เพื่อสร้าง Engine Brake ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วทันใจ ช่วยให้มีความปลอดภัยในการขับมากขึ้นอีกด้วย ให้อัตราเฉลี่ย 17.9 กม./ลิตร และรองรับการใช้เชื้อเพลิง E85 พร้อมเสริมความประหยัดด้วยฟังก์ชั่น E-CON หรือ Ecological-Drive Assist System ช่วยลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลืองโดยอัตโนมัติ
สำหรับระบบเกียร์ CVT ที่ติดตั้งใน Honda City ใหม่ นับเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยี Earth Dreams ที่ช่วยเสริมการประหยัดเชื้อเพลิง ช่วงอัตราทดเกียร์กว้าง แรงบิดที่สูงในรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำลง เพิ่มกำลังในช่วงออกตัวเมื่อทำงานร่วมกับ G-Design Shift ซึ่งเป็นระบบควบคุมการทำงานของเกียร์ ลิ้นปีกผีเสื้อและระบบไฮดรอลิก ตอบสนองได้รวดเร็วทันทีที่กดคันเร่ง
นอกจากการปรับออฟชั่นให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น City ใหม่ ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ อาทิ ระบบเบรก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบควบคุมการทรงตัว VSA, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA และระบบส่งสัญญาณเมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS ทำงานโดยอัตโนมัติระหว่างเบรกและไฟฉุกเฉิน โดยไฟเลี้ยวจะกระพริบขึ้นอัตโนมัติในลักษณะเหมือนไฟฉุกเฉิน เพื่อแจ้งให้รถที่ตามหลังทราบว่ามีการเบรกกะทันหัน และเพิ่มเติมความปลอดภัยพิเศษด้วยฟังชั่นระบบความปลอดภัย Active Safety และ Passive Safety ประกอบด้วยเทคโนโลยี G-CON ลดอาการบาดเจ็บด้วยการควบคุมแรงกระแทกที่เกิดจากการชน, ติดตั้งถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง และกล้องหลังสำหรับช่วยจอดปรับมุมมองได้ 3 ระดับ แสดงผลผ่านจอกลาง
สรุป
จากการที่ได้สัมผัส Honda City ใหม่ ในรุ่น SV+ ตลอดระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร นับว่าเป็นรถที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว เหมาะกับการใช้งานในเมืองเป็นหลัก แต่ถ้าจะใช้ในการเดินทางต่างจังหวัดก็ลงตัวไม่น้อยเพราะช่องใส่สัมภาระด้านหลังตรงฝากระโปรงท้ายมีความจุมากถึง 536 ลิตร สามารถใส่กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ได้อย่างไม่ติดขัด ใครที่อยากลองสัมผัสสามารถไปติดต่อทดลองขับได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศแล้วจะรู้ถึงความแตกต่าง...
++++++++
ล้อมกรอบ
ราคา Honda City ใหม่ มีทั้งหมด 6 รุ่น
- รุ่น SV+ CVT ราคา 751,000 บาท
- รุ่น SV CVT ราคา 736,000 บาท
- รุ่น V+ CVT ราคา 689,000 บาท
- รุ่น V CVT ราคา 649,000 บาท
- รุ่น S CVT ราคา 589,000 บาท
- รุ่น S MT ราคา 550,000 บาท
++++++++
Specification: Specification: Honda City SV+ CVT
– แบบตัวถัง ซีดาน 4 ประตู
– ยาว x กว้าง x สูง 4,440 x 1,695 x 1,477 มิลลิเมตร
– ความกว้างล้อหน้า / หลัง 1,476 / 1,465 มิลลิเมตร
– ฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร
– ระยะต่ำสุด 150 มิลลิเมตร
– น้ำหนัก 1,102 กิโลกรัม
– แบบเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว i-VTEC
– กระบอกสูบ x ช่วงชัก 73 x 89.4 มิลลิเมตร
– ความจุ 1,497 ซีซี
– อัตราส่วนการอัด 10.3:1
– กำลังสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที
– แรงบิดสูงสุด 14.9 กก.-ม. ที่ 4,700 รอบต่อนาที
– ระบบส่งกำลัง อัตโนมัติ CVT
– ระบบขับเคลื่อน ล้อหน้า
– ระบบบังคับเลี้ยว แร็กแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า
– ระบบกันสะเทือนหน้า อิสระ แม็กเฟอร์สันสตรัต พร้อมเหล็กกันโคลง
– ระบบกันสะเทือนหลัง ทอร์ชั่นบีมแบบ H-Shape พร้อม VSA และ HSA
– ระบบเบรกหน้า / หลัง ดิสก์พร้อมครีบระบายความร้อน / ดรัม พร้อม ABS และ EB